วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

Asset Allocation คือ

 Asset Allocation คือ 


การจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) คือ การกระจายการลงทุน *Asset Allocation แอสเซ็ท อโลเคชั่น


ในหลายๆอย่างในพอร์ตโฟลิโอของสินทรัพย์เรา เช่น ตราสารหนี้ หุ้น อสังหาริมทรัพย์ เงินสดหรือเงินฝาก


สินทรัพย์ทางเลือก: เช่น ทองคำ น้ำมัน หรือสินทรัพย์ดิจิทัล


คือแนวทางการลงทุนที่เน้นการกระจายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์หลายประเภท 


เพื่อบริหารความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว


แนวคิดหลักของ Asset Allocation


“อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว” หมายถึงการไม่ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียว 


เพราะหากเกิดความเสียหายจะกระทบทั้งพอร์ต


ประเภทสินทรัพย์ที่นิยมจัดสรร


หุ้น (Equities): มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูง แต่ก็มีความผันผวนมาก


ตราสารหนี้ (Bonds): เสี่ยงต่ำกว่า ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ


เงินสดหรือเงินฝาก: สภาพคล่องสูง แต่ผลตอบแทนต่ำ


อสังหาริมทรัพย์: ให้ผลตอบแทนระยะยาวและกระจายความเสี่ยงจากตลาดการเงิน


สินทรัพย์ทางเลือก: เช่น ทองคำ น้ำมัน เหล็ก ทองแดง หรือสินทรัพย์ดิจิทัล



ประโยชน์ของ Asset Allocation


ลดความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์เดียว


เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากหลายแหล่ง


ปรับพอร์ตให้เหมาะสมกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล


ตัวอย่างการจัดพอร์ต


หุ้น 60% = 60,000 บาท


ตราสารหนี้ 30% = 30,000 บาท


เงินสด 10% = 10,000 บาท


หากหุ้นตก 10% คุณจะเสียแค่ 6,000 บาท ไม่ใช่ทั้งหมดของพอร์ต


การจัดสรรสินทรัพย์ไม่ใช่แค่เทคนิคการลงทุน มันคือหลักฐานของ 


“ความเข้าใจในความไม่แน่นอน” และ “ความรับผิดชอบต่อเป้าหมายทางการเงิน” ของนักลงทุนแต่ละคน


การเลือกกระจายเงินลงทุนไปในหลายสินทรัพย์ แสดงว่าผู้ลงทุนรู้ว่าไม่มีสินทรัพย์ใด

ที่ให้ผลตอบแทนดีทุกช่วงเวลา


การจัดพอร์ตอย่างมีระบบช่วยลดความผันผวน และสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว 

แม้ในช่วงตลาดผันผวน


นักลงทุนที่ทำ Asset Allocation อย่างเหมาะสม มักมีเป้าหมายชัดเจน เช่น เกษียณ ซื้อบ้าน 

หรือเก็บเงินเรียนต่อ และเลือกสัดส่วนสินทรัพย์ตามความเสี่ยงที่รับได้


การเลือกสินทรัพย์ที่ไม่สัมพันธ์กัน เช่น หุ้นกับทองคำ หรืออสังหาริมทรัพย์กับพันธบัตร 

แสดงถึงการเข้าใจกลไกตลาดและการลดความเสี่ยงตามทฤษฎีพอร์ตสมัยใหม่ (Modern Portfolio Theory)



Asset Allocation ไม่ได้พิสูจน์ว่า “คุณจะรวย” แต่พิสูจน์ว่า “คุณเข้าใจการลงทุน” 


และพร้อมรับมือกับสิ่งที่คาดไม่ถึงในอนาคต


ลิ้งความรู้เพิ่มเติม

✅ ศัพท์ของหุ้น และการลงทุน 

✅ หนังสือ ตีแตก : กลยุทธ์การเล่นเหุ้นในภาวะวิกฤต โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

✅ เพาะหุ้นเป็น เห็นผลยั่งยืน (Best Seller) โดยพี กวี ชูกิจเกษม

✅ วอร์เรน บัฟเฟ็ตต์ กับศิลปะแห่งการค้ากำไรหุ้น

 SET Index คือ 

////




วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

นั่งทับมือ คืออะไร

 

นั่งทับมือ คืออะไร


คำว่า "นั่งทับมือ" ในบริบทของการลงทุนหรือการเล่นหุ้น หมายถึง:


"การไม่ทำอะไรเลย" นักลงทุนที่ "นั่งทับมือ" คือคนที่เลือกจะไม่ซื้อ ไม่ขาย 


ไม่ทำอะไรกับพอร์ตของตัวเองในช่วงเวลาหนึ่ง แม้ตลาดจะผันผวนหรือ


มีข่าวสารมากมายก็ตาม


หลีกเลี่ยงการตัดสินใจที่เกิดจากอารมณ์ เช่น ความกลัวหรือความโลภ


รอจังหวะที่เหมาะสม เพื่อเข้าซื้อหรือขาย


เชื่อมั่นในกลยุทธ์ระยะยาว เช่น การถือหุ้นพื้นฐานดีไว้โดยไม่หวั่นไหว


กับความผันผวนระยะสั้น


แม้การ "นั่งทับมือ" จะดูปลอดภัยในบางสถานการณ์ แต่ก็ไม่ควรใช้เป็นข้ออ้างในการ


ละเลยการติดตามข่าวสาร หรือ ไม่ประเมินพอร์ตการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ 


เพราะบางครั้งการไม่ทำอะไรเลยก็อาจทำให้พลาดโอกาสสำคัญได้เช่นกัน


ทำไมการ "นั่งทับมือ" ถึงเป็นกลยุทธ์ที่ดี


ลดการตัดสินใจที่เกิดจากอารมณ์


ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความผันผวน ข่าวร้าย ข่าวดี และความกลัว-ความโลภ


การซื้อขายบ่อย ๆ มักเกิดจากอารมณ์ ไม่ใช่เหตุผล


การ "นั่งทับมือ" ช่วยให้คุณไม่ตัดสินใจผิดพลาดในช่วงเวลาที่ตื่นตระหนก


นักลงทุนที่ "นั่งทับมือ" ผ่านช่วงวิกฤต มักได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าคนที่ขายออกตอนตกใจ


ความเสี่ยงของการ "นั่งทับมือ"


ถือหุ้นที่พื้นฐานเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว


พลาดโอกาสในการปรับพอร์ต


บางคนใช้ "นั่งทับมือ" เป็นข้ออ้างในการไม่กล้าตัดสินใจ


กลายเป็นการ "ละเลย" มากกว่าการ "อดทน"


หากมีหุ้นหรือสินทรัพย์อื่นที่มีศักยภาพสูงกว่า แต่คุณไม่กล้าขายหุ้นเดิมเพราะยึดติด


อาจทำให้พอร์ตโตช้ากว่าที่ควรจะเป็น


ลิ้งความรู้เพิ่มเติม

✅ ศัพท์ของหุ้น และการลงทุน 

✅ หนังสือ ตีแตก : กลยุทธ์การเล่นเหุ้นในภาวะวิกฤต โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

✅ เพาะหุ้นเป็น เห็นผลยั่งยืน (Best Seller) โดยพี กวี ชูกิจเกษม

✅ วอร์เรน บัฟเฟ็ตต์ กับศิลปะแห่งการค้ากำไรหุ้น

 SET Index คือ 

////

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2568

หุ้น UVAN

 

หุ้น UVAN

บริษัท ยูนิวานิชน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน)

หุ้น UVAN หรือ Univanich Palm Oil PLC เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการสกัดน้ำมันปาล์มดิบ

และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง


หุ้น UVAN (Univanich Palm Oil PLC) เป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มของไทย 

โดยมีบริษัทอื่น ๆ  ในกลุ่มเดียวกัน เช่น PCE, VPO, APO, CPI, LST, UPOIC และ TEGH 

ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์


UVAN จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2546 

และกลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันปาล์มรายใหญ่ของประเทศ



ทำธุรกิจหลักคือ สวนปาล์ม สกัดน้ำมันปาล์มดิบ และน้ำมันเมล็ดในปาล์มดิบ เพื่อจำหน่ายให้แก่

โรงกลั่นน้ำมันปาล์มทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์พลอยได้อื่นๆ เช่น เมล็ดในปาล์ม 

กากเมล็ดในปาล์ม และกะลาปาล์ม รวมถึงผลิตเมล็ดพันธุ์และต้นกล้าพันธุ์ปาล์มน้ำมันลูกผสม


บริษัทฯ ประกอบธุรกิจสวนปาล์มน้ำมัน แปรรูปผลปาล์มเพื่อส่งให้โรงกลั่นน้ำมันปาล์มทั้งในประเทศ

และต่างประเทศ 


ผลิตภัณฑ์พลอยได้ ได้แก่ เนื้อในปาล์ม กากเมล็ดในปาล์ม และกะลาปาล์ม นอกจากนี้ บริษัทฯ 

ยังผลิตเมล็ดพันธุ์และต้นกล้าลูกผสมสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันทั้งในประเทศและต่างประเทศ

 นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังประกอบธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อจำหน่ายให้กับ

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอีกด้วย


เป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมการเพาะปลูกในประเทศไทย โดยมีประวัติการดำเนินงานย้อนกลับไปถึง

การเพาะปลูกครั้งแรกของบริษัทในปี 2512 


บริษัท ยูนิวานิชเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันปาล์มชั้นนำของประเทศไทย และเป็นผู้ส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) 


น้ำมันเมล็ดในปาล์มดิบ (PKO) และเมล็ดปาล์มน้ำมันลูกผสมรายใหญ่ที่สุดของประเทศ


น้ำมันปาล์มดิบ (CPO) คือผลิตภัณฑ์น้ำมันสีส้มขุ่นข้นที่สกัดมาจากการบีบผลปาล์มสดด้วยเครื่องจักร

น้ำมันปาล์มเป็นน้ำมันที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากราคาถูกกว่าเนื่องจากให้ผลผลิตสูงกว่า

เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น การผลิตบิสกิต ครีมเทียม ไอศกรีม เครื่องสำอาง

การผลิตกรดไขมันและเมทิลเอสเทอร์ รวมถึงไบโอดีเซล น้ำมันปาล์มถูกนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์

อาหารต่างๆ เช่น บิสกิต บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือสเปรดอาหาร 


นอกจากนี้ น้ำมันปาล์มยังสามารถกลั่นเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์สุขอนามัยในชีวิตประจำวัน เช่น สบู่ แชมพู 

ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด หรือเครื่องสำอาง


น้ำมันเมล็ดในปาล์ม (PKO) ในการผลิต CPO จากกะลาปาล์ม ผลพลอยได้ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ

เนื้อในของผลปาล์ม เนื้อในของเมล็ดในปาล์มนั้นแข็งมากและมีเนื้อในสีขาวขุ่น การใช้งานหลักคือ

การบีบและสกัดน้ำมัน ซึ่งเรียกว่า น้ำมันเมล็ดในปาล์ม (PKO)


ในขณะเดียวกัน ผลพลอยได้ที่เป็นของแข็งเรียกว่า กากเมล็ดในปาล์ม ซึ่งใช้ในกระบวนการผลิตอาหารสัตว์

PKO มีคุณสมบัติที่พึงประสงค์คล้ายกับน้ำมันมะพร้าว เป็นที่นิยมอย่างมากในอุตสาหกรรมอาหาร

ยังใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตภัณฑ์ เช่น เครื่องสำอาง สบู่ หรืออาหารเสริม เช่น วิตามินเอและวิตามินอี


ยูนิวานิชเป็นเจ้าของและบริหารพื้นที่เพาะปลูก 5 แห่ง


พื้นที่ทั้งหมดของทั้ง 5 สวน รวม 37,316 ไร่ 


มีโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบ 5 แห่งในประเทศไทย และโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบ 1 แห่ง


ในเขตเทศบาลเมืองการ์เมน จังหวัดโคตาบาโตเหนือ ประเทศฟิลิปปินส์ 

(ร่วมทุนกับนักลงทุนในพื้นที่และเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน)


บริษัทยูนิวานิชเป็นเจ้าของเรือนเพาะชำทั้งหมด 5 แห่งในภาคใต้ของประเทศไทย 

โดยเรือนเพาะชำเหล่านี้ตั้งอยู่ในจังหวัดกระบี่ พังงา นครศรีธรรมราช และพัทลุง

หมายเหตุ **ข้อมูลจากวันที่ 18/6/2025 



วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2568

บริษัทไทย ที่มีอายุเกิน 100 ปี

 บริษัทไทย ที่มีอายุเกิน 100 ปี


มีหลายบริษัทไทยที่ดำเนินกิจการมายาวนานเกิน 100 ปี และยังคงมีบทบาทสำคัญ

ในเศรษฐกิจไทยจนถึงปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น:


โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ 

(บริษัท โอเอชทีแอล จำกัด มหาชน - OHTL) ก่อตั้งเมื่อปี 2419 ปัจจุบันมีอายุ 149 ปี.


บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)  ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2421 หนึ่งในผู้บุกเบิก

อุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้าภาคเอกชนของประเทศไทย ปัจจุบันมีอายุ 147 ปี. 


เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) ก่อตั้งเมื่อปี 2425 ปัจจุบันมีอายุ 143 ปี และเป็นเจ้าของธุรกิจค้าปลีก 

เช่น ห้างบิ๊กซี.


โอสถสภา ก่อตั้งเมื่อปี 2434 ปัจจุบันมีอายุ 134 ปี เป็นบริษัทด้านผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและเครื่องดื่ม.


ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ก่อตั้งเมื่อปี 2449 ปัจจุบันมีอายุ 119 ปี เป็นหนึ่งในธนาคารที่เก่าแก่

ที่สุดของไทย.


ปูนซิเมนต์ไทย (SCG) ก่อตั้งเมื่อปี 2456 ปัจจุบันมีอายุ 112 ปี เป็นบริษัทชั้นนำด้านวัสดุก่อสร้าง. 

หุ้น SCC 


บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ก่อตั้งเมื่อปี 2426 - 4 สิงหาคม พ.ศ. 2426  ปัจจุบันมีอายุ 142 



*** ปีที่ใช้ วันที่ลงบทความคือปี 2568 ถ้ามาอ่านหรือมาพบหลังจากนี้ก็บวกปีเพิ่มกันเข้าไปน้า


บริษัทเหล่านี้เป็นตัวอย่างขององค์กรที่สามารถปรับตัวและเติบโตผ่านยุคสมัยต่าง ๆ ได้อย่างแข็งแกร่ง

วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ปีเตอร์ ลินช์ (Peter Lynch)

 ปีเตอร์ ลินช์ (Peter Lynch)


เป็นนักลงทุนในตำนานและอดีตผู้จัดการกองทุนรวมที่เป็นที่รู้จัก


จากผลงานที่ยอดเยี่ยมของเขาที่กองทุน Magellan ของ Fidelity Investments 


เขาบริหารกองทุนนี้ตั้งแต่ปี 1977 ถึงปี 1990 โดยได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 29.2% 


ซึ่งมากกว่าดัชนี S&P 500 มากกว่าสองเท่า


Lynch มีชื่อเสียงจากปรัชญา "ลงทุนในสิ่งที่คุณรู้" ซึ่งสนับสนุนให้นักลงทุนรายบุคคล


มองหาโอกาสในชีวิตประจำวัน เช่น การสังเกตผลิตภัณฑ์ยอดนิยมหรือการเติบโตของธุรกิจ


ก่อนที่วอลล์สตรีทจะเข้ามาจับตลาด นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้บัญญัติศัพท์ "สิบเท่า" 


ซึ่งหมายถึงหุ้นที่มูลค่าเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า



หนังสือของเขาเรื่อง One Up on Wall Street ยังคงเป็นหนังสือคลาสสิกในวรรณกรรมการลงทุน 


โดยให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกลยุทธ์และแนวคิดของเขา


กลยุทธ์การลงทุนของ Peter Lynch ถือเป็นตำนาน และแนวทางของเขานั้นทั้งใช้งานได้จริงและมีประโยชน์


ลงทุนในสิ่งที่คุณรู้ – Lynch เชื่อว่านักลงทุนรายบุคคลสามารถค้นพบโอกาสดีๆ 

ได้โดยสังเกตชีวิตประจำวัน หากคุณสังเกตเห็นว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้รับความนิยม 

อาจคุ้มค่าที่จะค้นคว้าเพิ่มเติม


การเติบโตในราคาที่เหมาะสม (GARP) – เขาผสมผสานการลงทุนเพื่อการเติบโต

เข้ากับการลงทุนเพื่อมูลค่า โดยมองหาบริษัทที่มีการเติบโตของรายได้อย่างแข็งแกร่ง

แต่ยังคงซื้อขายในราคาที่สมเหตุสมผล


การจัดหมวดหมู่หุ้น – Lynch แบ่งหุ้นออกเป็น 6 ประเภท ได้แก่ 


-หุ้นที่เติบโตช้า 


-หุ้นที่แข็งแกร่ง 


-หุ้นที่เติบโตเร็ว 


-หุ้นตามวัฏจักร 


-หุ้นฟื้นตัว Turnarounds (หุ้นเทิร์นอะราวด์ )


-หุ้นแอสเซท เพล ( Asset Play ) 


อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำ – บริษัทที่มีหนี้สินต่ำมีแนวโน้มที่จะอยู่รอดในช่วงขาลงและมี

ความยืดหยุ่นทางการเงินมากกว่า


มุมมองระยะยาว – เขาเน้นย้ำถึงความอดทน โดยกล่าวว่าการลงทุนควรเป็นเหมือน 

"การดูหญ้าเติบโต" มากกว่าการไล่ตามความตื่นเต้นในระยะสั้น


หลีกเลี่ยง Micro-Caps – Lynch ชอบบริษัทที่มีประวัติการดำเนินงานที่มั่นคงมากกว่า

หุ้นขนาดเล็กที่มีการเก็งกำไรสูง


มองหา "Ten Baggers" – เขาเป็นผู้คิดคำขึ้นมาสำหรับหุ้นที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า 

ซึ่งมักพบในอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างรวดเร็ว


ลิ้งความรู้เพิ่มเติม

✅ ศัพท์ของหุ้น และการลงทุน 

✅ หนังสือ ตีแตก : กลยุทธ์การเล่นเหุ้นในภาวะวิกฤต โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

✅ 5 Steps เทรดหุ้น จากเริ่มต้น จนเทรดเป็น

✅ วอร์เรน บัฟเฟ็ตต์ กับศิลปะแห่งการค้ากำไรหุ้น

 SET Index คือ 

////



วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2568

หุ้น Asset play คือ



 หุ้น  Asset play คือ


การลงทุนในสินทรัพย์เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่นักลงทุนมองหาบริษัทที่มีสินทรัพย์ที่ถูกประเมินค่า

ต่ำกว่ามูลค่าจริง ซึ่งหมายความว่ามูลค่าตามราคาตลาดของบริษัทต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์ 

แนวคิดก็คือสินทรัพย์เหล่านี้สามารถปลดล็อกหรือปรับมูลค่าใหม่ได้ ซึ่งจะทำให้ผู้ลงทุนได้รับกำไร

อย่างมาก


ตัวอย่างเช่น บริษัทบางแห่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่มีค่าหรือทรัพย์สินทางปัญญา

ที่ไม่ได้สะท้อนให้เห็นอย่างเต็มที่ในราคาหุ้น หากบริษัทตัดสินใจที่จะขายหรือปรับมูลค่าสินทรัพย์

เหล่านี้ ราคาหุ้นอาจเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

กลยุทธ์นี้ได้รับความนิยมจากนักลงทุนในตำนานอย่าง Peter Lynch ซึ่งแบ่งหุ้นออกเป็นประเภทต่างๆ 

รวมถึงการลงทุนในสินทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายประการหนึ่งคือ นักลงทุนมักไม่ทราบว่าบริษัท

จะปลดล็อกมูลค่าสินทรัพย์เมื่อใดหรือเมื่อใด 

ทำให้เป็นแนวทางการลงทุนระยะยาวและไม่แน่นอนในบางครั้ง


เป็นบริษัทที่มีสินทรัพย์ เช่น ที่ดิน เงินสด หรืออื่นๆ ที่ยังไม่รับรู้มูลค่าเต็มที่ ซ่อนอยู่ในงบดุล


การลงทุนในสินทรัพย์มีความเสี่ยงหลายประการที่นักลงทุนควรคำนึงถึง


มูลค่าที่ซ่อนอยู่หรือเกินจริง – การที่บริษัทมีสินทรัพย์ไม่ได้หมายความว่าสินทรัพย์เหล่านั้น

จะแปลงเป็นเงินได้ง่าย สินทรัพย์บางอย่างอาจมีมูลค่าเกินจริง ล้าสมัย หรือไม่มีสภาพคล่อง



ช่วงเวลาการถือครองที่ยาวนาน – ตลาดอาจใช้เวลาหลายปีกว่าจะรับรู้มูลค่าที่แท้จริง

ของสินทรัพย์ของบริษัท ซึ่งหมายความว่าเงินของคุณอาจถูกผูกมัดเป็นเวลานานโดยที่

ราคาไม่เปลี่ยนแปลง



ความไม่เต็มใจของฝ่ายบริหาร – หากฝ่ายบริหารไม่มีแรงจูงใจที่จะปลดล็อกมูลค่าสินทรัพย์ 

(เช่น ขายที่ดิน แยกแผนกออกไป) นักลงทุนอาจไม่เคยเห็นกำไรเลย



สภาวะตลาด – มูลค่าสินทรัพย์อาจผันผวนเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ตัวอย่างเช่น 

บริษัทที่มีอสังหาริมทรัพย์ที่มีค่าอาจประสบปัญหาหากตลาดอสังหาริมทรัพย์พังทลาย



ความเสี่ยงจากการ Dilution หรือหนี้ – บริษัทบางแห่งอาจออกหุ้นใหม่หรือก่อหนี้มากเกินไป

ทำให้กำไรที่อาจได้รับจากการเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ลดลงการนำทางการเล่นสินทรัพย์ต้องใช้

ความอดทน


การระบุธุรกิจที่ฝ่ายบริหารมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการปลดล็อกมูลค่าสินทรัพย์จะสร้าง

ความแตกต่างอย่างมาก


ลิ้งความรู้เพิ่มเติม

✅ ศัพท์ของหุ้น และการลงทุน 

✅ หนังสือ ตีแตก : กลยุทธ์การเล่นเหุ้นในภาวะวิกฤต โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

✅ 5 Steps เทรดหุ้น จากเริ่มต้น จนเทรดเป็น

✅ วอร์เรน บัฟเฟ็ตต์ กับศิลปะแห่งการค้ากำไรหุ้น

 SET Index คือ 

////



วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2568

เม่า - นักลงทุนรายย่อย

 

เม่า - นักลงทุนรายย่อย


"เม่า" หรือ "แมงเม่า" เป็นคำที่ใช้เรียกนักลงทุนรายย่อยที่มักจะลงทุนโดยขาดความรู้และกลยุทธ์ที่ดี 


เปรียบเสมือนแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟโดยไม่รู้ว่ามันอันตราย นักลงทุนที่ถูกเรียกว่า "เม่า" มักจะมีพฤติกรรม 


เช่น 


ซื้อหุ้นตามกระแสโดยไม่ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน 


ตัดสินใจลงทุนด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล


และมักจะติดดอยเพราะซื้อหุ้นในช่วงราคาสูงแล้วราคาตกลงมา


หากต้องการหลุดพ้นจากการเป็น "เม่า" นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน


ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน และมีแผนการลงทุนที่ชัดเจนเพื่อป้องกันการขาดทุนโดยไม่จำเป็น


ถ้าพูดถึง "เม่า" ในตลาดหุ้น ก็มักจะหมายถึงนักลงทุนรายย่อยที่มักจะลงทุนตามกระแสโดยขาดการวิเคราะห์ที่ดี 


ทำให้ติดดอยหรือขาดทุนบ่อย ๆ